อยากทราบชะตากรรม พระบรมวงศานุวงศ์ ของกรุงศรีอยุธยา เป็นอย่างไรบ้างครับ?

คือดูแล้วสะท้อนใจจากสูงสุดลงต่ำสุด คือสงสารนะ คือไม่ควรมาเจออะไรขนาดนี้

เคยอ่านประเทศอื่นตอนมีอะไรอะไรแบบนี้ ก็ทำกับเจ้าแบบไม่ใช่คนเกิน

แก้ไขข้อความเมื่อ
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 20
สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ถูกกวาดต้อนไปพม่า มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่าระบุว่ามี

พระมเหสี ๔ องค์ หนึ่งในนั้นคือ พระองค์เจ้าแมงเม่า (ต้นฉบับสะกด มง์เมาก์) หรือ กรมขุนวิมสภักดี พระอัครมเหสีของพระเจ้าเอกทัศ
พระอนุชา ๑๒ พระองค์ หนึ่งในนั้นคือพระเจ้าอุทุมพร
พระขนิษฐภคินี ๑๔ พระองค์
พระราชโอรส ๓ พระองค์
พระราชธิดา ๔ พระองค์
พระราชนัดดาชาย ๑๔ พระองค์
พระราชนัดดาหญิง ๑๔ พระองค์
พระภาคิไนยชาย ๒ พระองค์
พระภาคิไนยหญิง ๒ พระองค์
สนมที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ๘๖๙ องค์ (น่าจะมากเกินไป)
รวมพระราชวงศานุวงศ์ทั้งหมด ๒๐๐๐ เศษ

พงศาวดารของไทยที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนระบุว่า เมื่อเสียกรุงนั้น พม่าจับพระราชวงศานุวงศ์ได้จำนวนมาก ก็ส่งกระจายกันไปอยู่ทุกค่าย แต่เนมโยสีหปเต๊ะ (เนเมียวสีหบดี) เกรงว่าแม่ทัพนายกองจะชุบมือเปิบแย่งความดีความชอบ จึงมีคำสั่งไปถึงนายทัพนายกองทั้งปวงว่า

"ตัวเราก็ทำการตีกรุงศรีอยุทธยาได้สำเรจ์เพราะปัญญาแลฝีมือของเรา ซึ่งนายทับนายกองทังหลายจะมาคอยชุบมือเอาส่วนกวาดเอาพระราชวงษานุวงศ์กระษัตรไท ไปไว้ทกค่ายทุกทับเปนบำเหนจ์ของตัวนั้นไม่ชอบ ให้เร่งส่งมาให่เราทั้งสิ้น ถ้ามิส่งมาเราจะยกไปตีเอาขัติยราชวงษทั้งปวงมาให้จงได้"

นายทัพนายกองพม่ากลัวอาญา จึงยอมส่งมารวมกันที่ค่ายใหญ่ทั้งหมดแล้วกวาดต้อนไปที่พม่า พระเจ้ามังระโปรดให้เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองจักไก (สะกาย) ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับกรุงอังวะ


ส่วนมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่าขยายความว่า เมือเนมโยสีหปเต๊ะไปถึงกรุงอังวะก็นำเอาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายถวายต่อพระเจ้ามังระทั้งสิ้น พระเจ้ามังระทรงเลี้ยงดูตามสมควร ที่เป็นเจ้านายฝ่ายในก็โปรดให้สร้างตำหนักชุบเลี้ยงอยู่ในพระราชวัง

"แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระมเหษีแลพระราชบุตรีแลพระสนมที่เปนพระราชวงษ์พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ที่เปนเจ้าหญิงทั้งปวงนั้น ทรงจัดให้สร้างวังเอาเข้าไว้ในมหาราชวังหลวง แต่พระราชวงษานุวงศ์แลขุนนางข้าราชการแลพลเมืองอยุทธยาทั้งปวงนั้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังแลทำเย่าเรือนเคหาอยู่ตามภูมิลำเนานอกกำแพงพระราชวัง แล้วทรงโปรดเกล้าฯ เลี้ยงดูให้อยู่เปนศุขทุกคน มิให้ร้อนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด"


การเลี้ยงดูพระราชวงศ์ของเมืองที่ตีได้นั้นเป็นเรื่องปกติของรัฐในภูมิภาคนี้เพราะเป็นการแสดงถึงบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้ชนะศึก ไม่ได้เอาไปเทำทารุณกรรมอย่างที่มักจะเข้าใจกัน  ส่วนพลเมืองก็กวาดต้อนมาตั้งชุมชนอยู่และอาจมีการเกณฑ์แรงงานทำราชการไม่ต่างจากพลเมืองทั่วไป ซึ่งเชลยจากประเทศราชที่ถูกกวาดต้อนมาเมืองไทยสมัยรัตนโกสินทร์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ครับ โดยยังคงมีชุมชนของชาวอยุทธยา (โยเดีย) อยู่ในพม่ามาจนถึงปัจจุบันครับ


พระเจ้าอุทุมพรนั้น หลักฐานทางฝั่งพม่าระบุว่าพระเจ้ามังระโปรดสร้างวัดทางใต้พระราชวังถวายให้พระองค์จำพรรษาชื่อว่า "วัดมะเดื่อ" ซึ่งประดับอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๓๒๖ เมื่อพระเจ้าปดุงเสด็จขึ้นครองราชย์และย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงอมรปุระ พระเจ้าอุทุมพรจึงย้ายไปประทับที่วัดปากป่า ที่กรุงอทรปุระจนเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๓๙ พระเจ้าปดุงทรงมีพระราชโองการให้จัดพิพธีถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติ และให้ประดิษฐานพระบรมอัฐิไว้ที่สุสานล้านช้าง ในกรุงอมรปุระนั่นเอง


จากการศึกษาของมิคกี้ ฮาร์ท (Myin Hsan Heart) นักวิชาการอิสระชาวพม่าพบว่าเจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์อยุทธยาหลายพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้านายของพม่า เช่น  พระเจ้าสายาวดี (သာယာဝတီမင်း Tharrawaddy Min) กษัตริย์พม่ามีมเหสีองค์หนึ่งเป็นชาวไทยเป็นราชพระนัดดาของพระเจ้าเอกทัศ และมีพระโอรสด้วยกันชื่อพระเจ้าทองหรือ สิริธรรมราชา (Thiri-dhammayaza) ได้เมืองไหล่เป็นเมืองส่วย จึงเรียกกันว่าพระเจ้าไหล่ (လှိုင်မင်း Hlaing Min) ภายหลังได้เป็นพระมหาอุปราชา พระเจ้าไหล่มีโอรสธิดาหลายองค์ หนึ่งในนั้นคือ เจ้าชายหม่องลัต (Maung Lat) หรือ John William Lat ซึ่งภายหลังตกเป็นนักโทษการเมืองของอังกฤษ แต่ต่อมาก็ถูกปล่อยตัว ได้แต่งงานกับชาวอังกฤษและมีลูกหลานสืบมาหลายคนจนปัจจุบัน

ฮาร์ทยังอ้างถึง พระองค์เจ้าประทีป พระธิดาองค์ใหญ่ของพระเจ้าเอกทัศน์ (ไม่ปรากฏในพงศาวดาร ที่ใกล้เคียงน่าจะเป็น 'ประพาฬสุริยวงศ์' พระธิดาที่ประสูติจากเจ้าจอมเพ็งพระสนมเอก) ได้เป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้ามังระ  มีพระธิดาองค์หนึ่งชื่อศรีประภาเทวี ได้รับเมืองทั่นตะเปงเป็นเมืองส่วย ต่อมาพระนางก็อภิเษกสมรสกับศรีมหาอุชนา เจ้าเมืองโกลังที่เป็นโอรสพระเจ้าปดุง และมีโอรสด้วยกันคือศรีสุธรรมราชาซึ่งได้เป็นสมาชิกสภาสูงตั้งแต่สมัยพระเจ้าพุกามถึงพระเจ้าสีป่อ

ศรีสุธรรมราชาอภิเษกสมรสกับหม่อมสัจจะ ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเจ้าเอกทัศน์ มีโอรสคือมังรายสีหกะยอ (Min Ye Thiha Kyaw) เจ้าเมืองเมียงมู (မြင်းမူ Myinmu) ในสมัยพระเจ้าพุกาม ซึ่งองค์นี้ก็อภิเษกกับหม่อมยุวดีซึ่งเป็นหลานหม่อมสัจจะอีก มีโอรสคือเจ้าชายหม่องติง (မောင်မောင်တင် Maung Muang Tin) ซึ่งเป็นผู้นำการต่อต้านอังกฤษหลังจากที่พม่าเสียกรุง แต่ภายหลังก็มอบตัวและกลับมารับราชการอยู่ในพม่าสมัยอังกฤษปกครองทรงมีบทบาทสำคัญคือเป็นผู้แต่งพงศาวดารพม่าราชวงศ์กงบ่อง (ကုန်းဘောင်ဆက် ရာဇဝင်တော်ကြီး Konbaung Set Yazawin)

เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้ามงกุฎ ผู้ประพันธ์อิเหนา-ดาหลัง ได้จัดการแสดงนาฏศิลป์ถวายพระเจ้ามังระตามคำขออนญาตจากพระองค์เจ้าประทีป เมื่อพระเจ้ามังระทอดพระเนตรแล้วจึงโปรดให้พระอนุชาไปศึกษานาฏศิลป์จากเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ ทั้งสองพระองค์จึงกลายเป็นผู้ถ่ายทอดนาฏศิลป์อยุทธยาให้ราชสำนักพม่า ซึ่งยังคงปรากฏร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันครับ

(อย่างไรก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่าฮาร์ตอ้างอิงข้อมูลจากหลักฐานใดบ้าง แต่ค้นเจอว่าพระเจ้าปดุงทรงมีสนมเป็นพระราชวงศ์อยุทธยาหลายองค์ครับ)



ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังคงอยู่ในเมืองไทย ส่วนใหญ่หลบหนีพม่าไปก่อนเสียกรุง หรือไม่ก็ตกค้างอยู่เป็นเชลยที่ค่ายโพธิ์สามต้น

เจ้านายที่ยังอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้นภายใต้การดูแลของสุกี้พระนายกอง ยังไม่ถูกส่งไปพม่าเพราะประชวรอยู่ ได้แก่

-พระราชธิดาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ๔ องค์คือ เจ้าฟ้าสุริยา เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าจันทวดี พระองค์เจ้าฟักทอง
-หม่อมเจ้ามิตร ธิดาของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
-หม่อมเจ้ากระจาด ธิดาพระองค์เจ้ามังคุด กรมหมื่นจิตรสุนทร
-หม่อมเจ้ามณี ธิดาพระองค์เจ้าปาน กรมหมื่นเสพภักดี
-หม่อมเจ้าฉิม ธิดาเจ้าฟ้าจิตร กรมขุนสุรินทรสงคราม (โอรสของพระองค์เจ้าแก้วที่เป็นโอรสของพระเจ้าเสือ พระมารดาคือเจ้าฟ้าเทพพระราชธิดาของพระเจ้าท้ายสระ)

เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพมาตีค่ายโพธิ์สามต้นของสุกี้พระนายกองได้ เจ้าฟ้าสุริยาและเจ้าฟ้าจันทวดีสิ้นพระชนม์แล้ว เหลือแต่เจ้าฟ้าพินทวดีซึ่งเป็นพระพี่นางของพระเจ้าเอกทัศน์ พระองค์เจ้าฟักทอง หม่อมเจ้ามิตร หม่อมเจ้ากระจาด พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงอุปถัมป์เลี้ยงดูไว้ในพระราชวัง เจ้าฟ้าพินทวดีทรงมีพระชนม์อยู่ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และเป็นผู้ถ่ายทอดธรรมเนียมพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าให้เป็นแบบแผนของเจ้านายยุคนั้นครับ


เจ้านายที่เสด็จหนีไปอยู่เมืองอื่นได้แก่

- พระองค์เจ้าทับทิม พระธิดาของสมเด็จพระเจ้าเสือ ได้มีข้าหลวงพาเสด็จหนีพม่าไปอยู่ที่เมืองจันทบูร จึงปรากฏพระนามเรียกขานกันว่า “เจ้าครอกจันทบูร” เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ครองเมืองจันทบูรก็ทรงสงเคราะห์เลี้ยงดูไว้

- เจ้าจุ้ยโอรสเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าศรีสังข์โอรสเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เสด็จหนีไปอยู่ที่กรุงกัมพูชาโดยได้รับการสนับสนุนเจ้าพระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมืองพุทไธมาศ แต่ถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีตามไปปราบปรามได้ เจ้าจุ้ยถูกประหารชีวิต เจ้าศรีสังข์หายสาบสูญไป

- พระองค์เจ้าแขก กรมหมื่นเทพพิพิธ โอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับหม่อมและโอรสธิดาเสด็จไปอยู่ที่นครราชสีมา ต่อมากรมหมื่นเทพพิพิธสังหารพระยานครราชสีมาแล้วยึดเมือง ทำให้หลวงแพ่งน้องพระยานครราชสีมานำกำลังจากเมืองพิมายมายึดเมืองคืน แล้วพากรมหมื่นเทพพิพิธไปอยู่ที่พิมายโดยตั้งขึ้นเป็นเจ้าหุ่นเชิด หม่อมเจ้าประยง เจ้าดารา เจ้าธารา โอรสกรมหมื่นเทพพิพิธถูกสังหาร เหลือแต่หม่อมเจ้าหญิงกับหม่อมเจ้าเล็กๆ หม่อมเจ้าอุบลธิดากรมหมื่นเทพพิพิธตกเป็นเมียของนายแก่นพรรคพวกของหลวงแพ่ง

หม่อมเจ้าประยงค์ จากจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวีระบุว่าไม่ได้ถูกประหาร แต่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งเป็นเจ้าราชนิกุลในตำแหน่ง "เจ้าอนิรุทธิ์เทวา" ในพงศาวดารเรียก "หม่อมอนุรุทธเทวา" เป็นจางวางคุมทหารไปป้องกันเสบียงจากกองทัพพม่าในศึกอะแซหวุ่นกี้ และเคยยกไปรบกับพม่าที่บ้านเดิมบางนางบวชในแขวงเมืองสรรคบุรี

ภายหลังพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบชุมนุมเจ้าพิมายได้ใน พ.ศ.๒๓๑๑ และสำเร็จโทษกรมหมื่นเทพพิพิธ ก็ทรงพาหม่อมอุบลลงมาอยู่ที่กรุงธนบุรีอีกองค์หนึ่ง และทรงตั้งเป็นหม่อมห้าม นอกจากนี้ยังทรงตั้งเจ้านายอีก ๓ องค์เป็นหม่อมห้ามเช่นเดียวกันคือ หม่อมเจ้าฉิม หม่อมเจ้ามิตร ซึ่งพระราชทานนามให้ใหม่ว่า เจ้าประทุม และหม่อมเจ้ากระจาด ซึ่งพระราชทานนามให้ใหม่ว่า เจ้าบุปผา (ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีเรียก ‘เจ้าบุษบา’) ต่อมาใน พ.ศ.๒๓๑๒ เกิดเหตุคือเจ้าประทุมได้ทูลฟ้องพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าหม่อมเจ้าอุบลกับหม่อมเจ้าฉิมลักลอบเป็นชู้กับฝรั่งมหาดเล็ก พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระพิโรธโปรดให้ลงอาญาจนตายทั้งสองคน


นอกจากนี้น่าจะมีเจ้านายอีกหลายองค์ที่ไปอยู่เมืองอื่นๆ อีก เช่นเมืองลพบุรีที่ไม่ใช่เส้นทางเดินทัพของพม่า ดังปรากฏในพงศาวดารว่ามีทั้งพระราชวงศ์กรุงศรีอยุทธยา รวมถึงพระราชวงศ์ของพระเจ้ากรุงธนบุรีไปประทับอยู่มาก ซึ่งเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นครองราชย์ ก็ได้อัญเชิญพระราชวงศ์ทั้งหลายลงมายังกรุงธนบุรี

“อนึ่งแต่งให้ขึ้นไปเกลี้ยกล้อมณเมืองลบบูรีย์สำเรธิแล้ว ให้รับบูราณขัติวงษาซึ่งได้ความลำบากกับทั้งพระบรมวง ลงมาทำนุบำรุงณเมืองธนบูรีย์”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่